จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 9 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | ศาสนศึกษา |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
“ไทยปิฎก” โดยภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ ไม่ใช่เพียงวลีเชิงล้อเลียนเสียดสี แต่เป็นคำอุปมาที่สะท้อนผลผลิตทางประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมร่วมสมัยของพุทธศาสนาไทย พูดอีกอย่าง “ไทยปิฎก” ต่างจาก “ไตรปิฎก” ตรงที่ไตรปิฎกเป็นบันทึกเกี่ยวกับพุทธศาสนาแบบนำเข้าจากศรีลังกาที่เชื่อกันว่ารับมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง
ขณะที่ไทยปิฎกคือบันทึกเกี่ยวกับพุทธศาสนาไทยหรือที่ภิญญพันธุ์เรียกว่า “พุทธศาสนา-ราชาชาตินิยม” ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนาในแบบที่เชื่อกันว่าเป็น “สัจธรรม” เหนือบริบทของเทศะ-สภาพการณ์ทางสังคมและการเมือง หรือเป็น “อกาลิโก” เหนือกาละ-ยุคสมัยต่างๆ หากแต่เป็นศาสนาที่ถูกผลิตสร้างและผลิตซ้ำผ่านการตีความของชนชั้นนำ คณะสงฆ์ องค์กรพุทธต่างๆ ปัญญาชนพุทธทั้งพระและฆราวาสในบริบทสังคมและการเมืองไทย"
หนังสือประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนากับการเมืองร่วมสมัยในประเทศไทยที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งในเวลานี้
เข้าเล่มปกอ่อนจำนวน 414 หน้า
สารบัญ
คำนำ
คำขอบคุณ
คำวิพากษ์เชิงแลกเปลี่ยน
บทนำ ไทยปิฎก หนึ่งในตะกร้าของความเป็นไทย
บทที่ 1 ความเยาว์วัย
1.1 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2484 จุดกำเนิดและจุดจบของแนวคิดประชาธิปไตย
1.2 วิหารไม่ว่าเปล่า: พุทธศาสนาหัวก้าวหน้าที่ถูกลดความหมายทางการเมือง
บทที่ 2 ความกลัว-ความหลงใหล
2.1 ความน่าหวาดหวั่นของยุคกึ่งพุทธกาล
2.2 สงครามเย็น และพุทธศาสนา-ราชาชาตินิยม
2.3 "จิตนิยม-ประวัติศาสตร์": เรื่องเล่าเชิงลี้ลับกับอุดมคติของพุทธศาสนาแบบไทยช่วงทศวรรษ 2500-2520
2.4 แผนนารีพิฆาต โครงเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่พุทธใช้ฆ่านารี
บทที่ 3 ความเหนือกว่า-ความแปลกแยก
3.1 ธัมมิกสังคมนิยมแบบเผด็จการ! วิพากษ์แนวคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ
3.2 คำโกหก-ความจริง ในฐานะแอกและภารกิจทางศีลธรรมไทย
3.3 จากแพะรับบาปสู่ศาสนามวลชน และอำนาจที่มุ่งครอบงำรัฐ
บทที่ 4 บทสรุป
บรรณานุกรม
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
จากชื่อ "ไทยปิฎก" ก็จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการยั่วล้อไปกับคำว่า "ไตรปิฎก" ซึ่งตลอดทั้งเล่มงานชิ้นนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยที่สอดแทรกอยู่ในความเป็นพุทธ ขณะเดียวกันความเป็นพุทธก็ฝังตัวอยู่ในความเป็นไทยเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่างานเล่มนี้อธิบายความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกและอาจจะไม่มีทางแยกออกระหว่างรัฐไทย พุทธศาสนา การเมือง วัฒนธรรมและสังคม โดยมีช่วงเวลาของการอธิบายลากยาวตั้งแต่การปฏิวัติในปี 2475 จนมาถึงสังคมไทยปัจจุบัน
ภายในเล่มประกอบไปด้วย 3 บทหลัก ได้แก่ ความเยาว์วัย ความกลัว-ความหลงใหล และความเหนือกว่า-ความแปลกแยก ซึ่งบทแรกภายใต้ชื่อ "ความเยาว์วัย" เป็นการปูพื้นฐานให้กับคนอ่านเห็นภาพรวมเกี่ยวกับพัฒนาการของพุทธศาสนาในฐานะสถาบันหลักสถาบันหนึ่งของไทย โดยเน้นไปที่บริบทหลังการปฏิวัติ 2475 ตั้งแต่การเกิดขึ้นของคณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนา อันเป็นการเคลื่อนไหวของสงฆ์ที่ต้องการให้ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในการปกครองของสงฆ์เอง นำไปสู่การออกพระราชบัญญัติการปกครองสงฆ์ ปี 2484 ที่เป็นเสมือนประชาธิปไตยในโลกของสงฆ์ก็ว่าได้ ตลอดจนการเมืองภายในระหว่างพระสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติ การล่มสลายของความเป็นประชาธิปไตยในหมู่สงฆ์ การเกิดขึ้นของสันติอโศก ธรรมกาย และสวนโมกข์ของพุทธทาสภิกขุที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในช่วงที่ทุนนิยมและโลกโลกาภิวัตน์มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อสังคมไทย บทที่สอง "ความกลัวและความหลงใหล" บทนี้เป็นการลงลึกเข้าไปในการสร้างและเผยแพร่อุดมการณ์พุทธศาสนาที่สัมพันธ์อยู่กับการเมืองและอุดมการณ์ของรัฐในช่วงทศวรรษ 2500 จนถึงปัจจุบัน ในด้านของบริบททางสังคม สภาวะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คนรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต การคุกคามของภัยคอมมิวนิสต์ การฟื้นฟูบทบาทและความสำคัญของพระมหากษัตริย์และความเป็นไทย เรื่อยมาจนถึงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2540 ทั้งหมดมีส่วนให้สังคมไทยใช้ศาสนาเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสำคัญของพุทธศาสนาได้รับการขับเน้นจากรัฐอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองงานกึ่งพุทธกาล การเชิดชูสถาบันทั้งสาม ได้แก่ ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ในฐานะสิ่งที่แสดงถึงความเป็นไทยเพื่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ อาจกล่าวได้ว่าทั้งรัฐและศาสนาพุทธจับมือกันอย่างเข้มแข็งในการผลิตอุดมการณ์ความเป็นไทยออกสู่สังคม การกล่าวอย่างรวมๆ อาจทำให้มองไม่เห็นกระบวนการนี้อย่างชัดเจน แต่หากเอ่ยชื่อพระสงฆ์ที่สำคัญและคุ้นหูคุ้นตาของพุทธศาสนิกชนไทย ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อฤาษีลิงดำกับการปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้กับทหารและตำรวจเพื่อต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ สำนักปู่สวรรค์ พระกิตติวุฑฺโฑ และพุทธทาสภิกขุ ที่เคลื่อนไหวอย่างแข็งขันในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ผ่านทางการเทศน์และบทความหนังสือต่างๆ หรือการเกิดขึ้นของเรื่องเล่าทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม การกลับชาติมาเกิดของ ท.เลียงพิบูลย์ การเขียนชีวประวัติและการธุดงค์ของพระวัดป่าชื่อดังอย่างหลวงปู่มั่นและหลวงตามหาบัว ฯลฯ ทั้งหมดนี้เปรียบประหนึ่งสายธารของเรื่องเล่าที่เน้นย้ำประเด็นเดียวกัน นั่นคือความสำคัญของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
บทที่สาม "ความเหนือกว่า-ความแปลกแยก" ในส่วนของบทสุดท้าย อาจกล่าวโดยรวมได้ว่าเป็นเสมือนการเปรียบเทียบจัดวางให้เห็นขั้วตรงข้ามของความเป็นพุทธ ระหว่างกรณีของพุทธทาสภิกขุและกรณีของธรรมกาย ในส่วนแรกจะพบว่าพุทธทาสภิกขุประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการผลิตอุดมการณ์ที่ว่า "ธรรมะอยู่เหนือการเมือง" การเป็นคนดีนั้นคือที่สุดที่พึงปรารถนา และนั่นเป็นเสมือนคำอธิบายให้กับการเมืองและสังคมไทยเช่นกัน ในแง่ที่ว่าขอเพียงเป็นคนดี สังคมก็จะดำเนินไปได้อย่างผาสุก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความคิดลักษณะนี้ไหลเวียนอยู่ในสังคมไทยอย่างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด ขณะเดียวกัน ภาพของธรรมกายกลับถูกมองเป็นความแปลกแยก ดูเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ "พุทธ" ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมอย่างโปรยดอกไม้ให้พระสงฆ์เดินเหยียบ สถาปัตยกรรมของวัดที่มีลักษณะเหมือนกับจานบิน การทำบุญที่หวังแต่ความร่ำรวย ฯลฯ ทั้งหมดดูจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในเชิงติดตลกไปจนถึงการเหน็บแนมว่าเป็น "ลัทธินอกรีต"
ท้ายที่สุดแล้วผู้เขียนชวนให้เราคิดต่อไปถึงอำนาจของสถาบันพุทธศาสนาที่ทวีขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะปัจจุบันที่เราต่างหวนกลับไปหาคำอธิบายทางศาสนาผ่านความไม่มั่นคงของปัจเจกชนและในระดับของสังคมโดยรวม ที่ผ่านมาเรามักจะมองพระสงฆ์และศาสนาเป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากการเมืองและอำนาจ อย่างไรก็ตามตลอดทั้งเล่ม งานชิ้นนี้ได้เผยให้เห็นว่าความเป็นจริงนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราเคยเชื่อ การแย่งชิงทางอำนาจและความวุ่นวายของสงฆ์มีไม่น้อยกว่าหรืออาจจะเท่ากับสังคมฆราวาสด้วยซ้ำ หากแต่ปัญหาคือ เราเชื่อว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะถูกตั้งคำถาม ยิ่งไปกว่านั้นไม่ควรจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ สารบัญ คำนำ และคำวิจารณ์แลกเปลี่ยน https://www.yumpu.com/xx/document/read/62800909/- บทวิจารณ์ https://www.illuminationseditions.com/b/29 บทความใน ประชาไท https://prachatai.com/journal/2019/11/85141 ฺBooktalk 1 https://youtu.be/b9kZHEdr0pw Booktalk 2 https://youtu.be/Q677rlkTnho ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |