จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 13 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | ปรัชญาและทฤษฎีสังคม |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
เข้าเล่มปกอ่อนจำนวน 248 หน้า
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นการอรรถาธิบายแนวคิดเรื่องโลกสัจนิยมแบบทุนของ Mark Fisher ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ของเรา โดยเน้นไปที่ความพยายามของ Fisher ในการสร้างความเป็นการเมืองให้กับสุขภาพจิตเสียใหม่ในบริบทของอัตราความเจ็บป่วยทางจิตที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก
Fisher ไม่ได้จะบอกว่าความเจ็บป่วยทางจิตทั้งหมดมีสาเหตุมาจากทุนนิยม เขาไม่ใช่พวกที่มีทรรศนะแบบลดทอนทางเศรษฐกิจ (economic reductionist) หรือนิยัตินิยม (determinist) แต่ประเด็นที่เขาจะบอกมีอยู่ว่า การมองว่าความเจ็บป่วยทางจิตไม่มีความเกี่ยวข้องกับทุนนิยมเลยนั้นเป็นฐานคติที่ใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตจึงไม่อาจไม่เกี่ยวกับการเมืองที่ต่อต้านทุนนิยมและการเมืองเพื่อการปลดปล่อย กล่าวอีกอย่างก็คือ ความพยายามใด ๆ ก็ตามที่จะรักษาโรคซึมเศร้าโดยไม่เผชิญหน้ากับทุนนิยมเป็นได้เพียงการเลี้ยงไข้หรือทำให้อาการแย่ลง (ซึ่งยิ่งทำให้บริษัทยายักษ์ใหญ่รวยขึ้น อะไรแบบนี้) เท่านั้น
ในส่วนที่สอง ผมนำงานของนักวิชาการท่านอื่น ๆ มาเสริมแนวคิดของ Fisher ในเรื่องที่ว่าทำไมความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การงาน และความเพ้อฝันเรื่องการโยนความรับผิดชอบไปที่ปัจเจกล้วนเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้า สิ่งที่ต้องการจะสื่อในส่วนนี้ก็คือ การประเมินคุณค่าของงานเสียใหม่ การลดชั่วโมงทำงานลงขนานใหญ่ การเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมในด้านการจัดสรรกระจายทรัพยากรและความมั่งคั่งกลับสู่สังคม (redistributive justice) และการจัดตั้งการต่อสู้เพื่อล้มล้างทุนนิยม ล้วนเป็นยาต้านเศร้าที่เรานำมาใช้ได้ทั้งสิ้น
ในส่วนสุดท้าย ผมจะวิเคราะห์ลัดดาแลนด์ผ่านกรอบของโลกสัจนิยมแบบทุนและความทุกข์ทรมานทางจิต โดยถอดสารที่แสดงความต่อต้านทุนนิยมออกมาพร้อม ๆ กับชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของหนังเรื่องนี้
บางส่วนจากคำนำ
สรวิศ ชัยนาม
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
ภาพยนตร์ช่วยทำให้เราเห็นภาพว่าทุนทำลายชีวิต ร่างกายและจิตใจของเราได้อย่างไร โดยให้กรอบที่เราสามารถใช้ตีความและมีปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริงของโลกทุนนิยม และเชื่อมโยงผู้คนที่มีกรอบความคิดเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน ยิ่งถ้าเป็นภาพยนตร์แนวดิสโทเปียและแนวสยองขวัญด้วยแล้วยิ่งช่วยให้เรา “เห็น” ทุนนิยมได้แจ่มชัดเป็นพิเศษ พูดอีกอย่างก็คือ หนัง ซึ่งเป็นเรื่องแต่งหรือ “เรื่องลวง” บอกเล่าความจริงเกี่ยวกับทุนนิยมได้ดีกว่างานวิชาการส่วนใหญ่ซะอีก ในงานเขียนเล่มก่อน ๆ ผมพยายามคลี่ประเด็นทางการเมืองที่แสดงออกว่าต่อต้านทุนนิยมและพยายามปลดปล่อยเป็นอิสระซึ่งสื่อออกมาในหนังฮอลลีวูดแนวดิสโทเปียหลายเรื่อง เช่น In Time, The Snowpiercer และ The Lobster วัฒนธรรมสมัยนิยมก็เป็นพื้นที่ที่การต่อสู้เพื่อล้มล้างทุนนิยมสามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกัน และต้องเป็นพื้นที่ให้เกิดสิ่งนี้ได้ด้วย ไม่ใช่แค่ในการเมืองและเศรษฐศาสตร์เท่านั้น ไม่มีอาณาบริเวณใดในชีวิตที่ทุนยังรุกล้ำไปไม่ถึง ในดิสโทเปียไม่สิ้นหวัง ผมเน้นประเด็นที่ว่าทุนกำลังทำลายโลกและได้เปลี่ยนอนาคตของเราให้กลายเป็นฝันร้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เรายังคงต่อกรกับมันได้ ในทำไมต้องตกหลุมรัก? ผมเสนอว่าทุนนิยมเป็นศัตรูของความรักและกำลังทำลายชีวิตรักของเรา ส่วนในหนังสือเล่มบาง ๆ เล่มนี้ ผมจะแสดงให้เห็นว่าทุนนิยมยุคปลายกำลังทำลายสุขภาพจิตของเราอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ผมจะเปลี่ยนไปวิเคราะห์ภาพยนตร์สยองขวัญแทนหนังดิสโทเปีย โดยยึดตามข้อสังเกตของ Mark Fisher และ Mark Steven และใช้แนวคิดของทั้งสองในการตีความภาพยนตร์เรื่องลัดดาแลนด์ (กำกับโดยโสภณ ศักดาพิศิษฐ์ ออกฉายปี 2011) ซึ่งกลายเป็นหนังฮิตติดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิศกวาดรายได้ไปกว่าร้อยล้านบาท และยังคว้ารางวัลสุพรรณหงส์ประจำปี 2012 ไปหลายสาขา รวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Fisher กล่าวไว้ว่า ‘การบรรยายทุนแบบที่โกธิค*ที่สุดก็คือการบรรยายที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด ทุนเป็นปรสิตในเชิงนามธรรม เป็นแวมไพร์ที่ไม่มีวันดูดเลือดอิ่ม และเป็นผู้สร้างซอมบี้’ Steven บอกว่า ‘ทุนนิยมเป็นหนังเลือดสาด (splatter film) ที่น่าขนลุก น่าขยะแขยงที่สุดที่เราจะได้เห็น’ และเสริมว่า ‘เราทุกคนต่างอยู่ในหนังเลือดสาดเรื่องเดียวกันและเราก็ควรรังเกียจมันถึงที่สุด’
แม้จะไม่ใช่หนังประเภทเลือดสาด แต่ลัดดาแลนด์ก็แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าทุนนิยมต่างหากที่เป็นความสยดสยองที่แท้จริง ไม่ใช่พวกผีที่ออกมาให้เราเห็นแค่ประปราย และทุนนิยมเปลี่ยนเราให้เป็น ‘ปิศาจร้าย’ ได้อย่างไร หนังเรื่องนี้สื่อออกมาว่าต้านทุนนิยมอย่างค่อนข้างชัดเจน และยังทำได้ดีมากในการทำให้เราเห็นหรือนึกถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างสองด้าน โดยด้านหนึ่งคือความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ความมีขึ้นมีลงของระบบทุนนิยม และความเพ้อฝันเรื่องการโยนความรับผิดชอบไปที่ปัจเจก (self-responsibilization) ซึ่งสร้างแรงปรารถนาต่าง ๆ ที่ค้ำจุนระบบทุนนิยมเอาไว้ กับอีกด้านหนึ่งคือภาวะบีบคั้นทางจิต คนที่ซึมเศร้า คนที่หมดไฟ คนที่ฆ่าตัวตาย และฆาตกรสังหารหมู่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่แสดงออกชัดว่าเรากำลังอยู่ในทุนนิยมยุคปลาย ไม่ใช่พวกศาสดาพยากรณ์จอมปลอมที่เครื่องจักรชวนเชื่อของทุนนิยมป่าวประกาศว่าเป็นนักคิดค้น ผู้ประกอบการ และ ‘ผู้นำทางความคิด’ อันที่จริงแล้ว ผู้มีภาวะซึมเศร้าสามารถบอกความจริงเกี่ยวกับทุนนิยมที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงได้ดีกว่าผู้นำทางความคิดเสียอีก
อย่างแรกเลยก็คือ การถามว่าโรคซึมเศร้าเกิดจากความไม่สมดุลทางเคมีในสมองหรือหรือปัจจัยด้านสังคมกันแน่นั้นเป็นคำถามที่ผิด นี่เป็นเรื่องที่เราไม่อาจลดทอนให้เหลือแค่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ในประเด็นเรื่องโรคซึมเศร้า Mark Fisher กล่าวว่า ‘เรื่องส่วนตัวไม่เคยใช่เรื่องส่วนตัวจริง ๆ (The personal is impersonal) โดยหมายความว่าเรื่องส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องของส่วนรวมด้วย เพราะฉะนั้นปัญหา ‘ส่วนตัว’ จึงอาจแพร่หลายหรือพบได้ทั่วไป เราอาจอธิบายแบบนี้ก็ได้ว่า เรื่องส่วนตัวนั้นมีความแยกย่อย เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และไม่ใช่ว่าปราศจากความย้อนแย้งภายใน ก ไม่ได้เท่ากับ ก แล้วใน ก ยังมีส่วนที่ไม่ใช่ ก อยู่ด้วย นี่เป็นเพราะว่าเรื่องส่วนตัวมักมีสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแทรกอยู่ระหว่างกลางเสมอ บอกได้ยากว่าอันหนึ่งเริ่มตรงไหนและอีกอันสิ้นสุดที่ใด เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่จำต้องต้องขัดแย้งในตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และมีทั้งสิ่งที่เป็นส่วนตัวและไม่เป็นส่วนตัวในตัวเรา สุขภาพจิตตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างสิ่งที่อยู่ภายใน/ความเป็นส่วนตัวและสิ่งที่อยู่ภายนอก/ความไม่เป็นส่วนตัว ไม่อาจลดทอนให้เหลือแค่สิ่งที่อยู่ภายในหรือสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แต่เป็นผลจากการปะทะของทั้งสองบริเวณ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่สามารถละเลย “เบื้องหลัง” ที่เป็นทุนนิยมได้แม้ในตอนที่เราพูดถึงเรื่อง “ส่วนตัว” เราปะทะกับเบื้องหลังนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ใครหลาย ๆ คนประสบความทุกข์ทรมานทางจิตได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ พูดอีกอย่างก็คือ ทุนได้เข้ามาดำเนินการอยู่ในระดับจิตใจของบุคคลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โครงสร้างทางสังคมและอำนาจสามารถพบได้ “ภายใน” ตัวของเราเอง เมื่อใดที่เรามองข้ามเบื้องหลังนี้ไป ก็จะเห็นว่ามีแต่ปัจเจกเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผิดชอบและสมควรถูกตำหนิ เมื่อปัญหาสังคมไม่ว่าจะเรื่องอะไรถูกทำให้เป็นปัญหาของใครของมัน ทางแก้แต่ละทางก็จะถูกกำจัดความเป็นการเมืองออกไป (de-politicized) และเอื้อเฟื้อต่อทุน เราอาจเรียกกระบวนการนี้ว่า “การป้ายสีให้เป็นปิศาจ (demonization)” ซึ่งทำให้คนยิ่งกล่าวโทษตัวเองและซึมเศร้าหนักขึ้นไปอีก เราจะเห็นกระบวนการนี้เกิดขึ้นในลัดดาแลนด์ น่าเสียดายที่ตอนจบของหนัง ความรู้สึกรังเกียจทุนนิยม ซึ่งสามารถใช้ส่งเสริมการเมืองเพื่อการปลดปล่อย กลับถูกแทนที่ด้วยความโล่งใจและความปรองดอง และการวิเคราะห์เชิงระบบถูกแทนที่ด้วยการวิจารณ์บุคคลรายตัวไปซะเฉย ๆ ข้อบกพร่องตรงนี้ทำให้หนังมีความสอดคล้องกับ ‘โลกสัจนิยมแบบทุน’ คือถึงแม้จะมีลักษณะต่อต้านทุนนิยม แต่ท้ายที่สุดหนังก็ช่วยยืนยันว่าทุนนิยมเป็นเส้นขอบฟ้าที่เราไม่อาจข้ามผ่านไปได้
บางส่วนจากคำนำ
สรวิศ ชัยนาม ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |