จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 20 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | นักคิดเชิงวิพากษ์ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
แปลจาก Le Peintre de la vie moderne by Charles Baudelaire
แปลโดย รติพร ชัยปิยะพร
บรรณาธิการแปล โดย ชัยวัฒน์ ฤกษ์ชัยศรี
เข้าเล่มปกอ่อนจำนวน 240 หน้า
หนังสือขนาด 12.7 x 18.4 x 1.3 CM
______________________________
ชาร์ลส์ โบดแลร์ (Charles Baudelaire) เป็นที่รู้จักกันในฐานะกวีชาวฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 19 และได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้บุกเบิก “กวีนิพนธ์สมัยใหม่” ในแวดวงวรรณกรรมตะวันตก โดยเฉพาะงานรวมเล่มกวีนิพนธ์อย่าง Les Fleurs du Mal (ดอกไม้แห่งความชั่ว) และ Le Spleen de Paris (ทุกข์ระทมในปารีส) นอกจากนี้โบดแลร์ยังได้เขียนบทวิจารณ์งานศิลปะไว้อีกมากมาย อาทิ จิตรกรแห่งชีวิตสมัยใหม่ ซึ่งเป็นบทความที่รวบรวมหลักคิดสำคัญต่างๆไว้
“ความเป็นสมัยใหม่” ในฐานะแก่นเรื่องของงานศิลปะที่โบดแลร์กล่าวถึง คือการให้ความสำคัญกับรายละเอียดของสิ่งต่างๆ รอบตัวในช่วงเวลานั้นๆไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่งดงามหรือสิ่งที่ประหลาด แม้ปรากฏการณ์นั้นจะวูบไหวชั่วแล่นไม่จีรัง แต่มันก็มีส่วนของแก่นสารที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ความพึงพอใจต่อภาพสะท้อนความร่วมสมัยไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นความงามที่ฉาบเคลือบสังคมปัจจุบันอยู่เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะตัวของปัจจุบันอีกด้วย
โบดแลร์ถือโอกาสเสนอแนวคิดทางสุนทรียศาสตร์แนวใหม่ นั่นคือ แนวคิดเกี่ยวกับความงาม (le Beau) เขาชี้ว่า ความงามนั้นมีลักษณะทวิลักษณ์ กล่าวคือมีทั้งลักษณะที่เป็นนิรันดร์ คงที่ นิยามยาก กับลักษณะชั่วคราวซึ่งสัมพันธ์กับสถานการณ์และความเป็นไปร่วมสมัย และเปรียบว่าทวิลักษณ์นี้เป็นเสมือน “จิตวิญญาณ” และ “ร่าง” ของศิลปะ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับแนวคิดว่าด้วยความเป็นสมัยใหม่
ชีวิตสมัยใหม่นั้นเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ของศิลปิน แต่ศิลปินจะต้องรู้จักเลือกลักษณะที่เขาเห็นว่าเด่น น่าประทับใจมานำเสนอ และรู้จักดึงลักษณะที่เป็นอมตะออกจากภาวะที่ปรากฏเพียงชั่วคราวโดยบังเอิญ ทั้งนี้ เขาเสนอนิยามศัพท์ “modernité” ไว้ว่า “ความเป็นสมัยใหม่ ประกอบด้วยส่วน (เปลือกนอก) ที่คงอยู่ชั่วคราว ผ่านวูบแล้วแวบหายหรือปรากฏเพียงชั่วแล่น ครึ่งหนึ่ง กับส่วน (แก่นสาร) ที่มีสารัตถะซึ่งดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์อีกครึ่งหนึ่ง”
ศิลปะต้องเป็นการดัดแปลงธรรมชาติตามจินตนาการของผู้สร้างสรรค์ เพราะธรรมชาตินั้น “ดิบ” และ “เถื่อน” เพราะฉะนั้น ต้องใช้ศิลปะเข้ามาขัดเกลาดัดแปลงให้หมดมลทิน งานศิลปะจึงมิใช่การลอกเลียนธรรมชาติ แต่เกิดจากการจัดสรรเลือกเฟ้นองค์ประกอบจากธรรมชาติมาสร้างใหม่ จัดระบบใหม่ ตามความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำ และจินตนาการ ตลอดจนความชำนาญด้านฝีมือของผู้สร้าง
ด้วยเหตุนี้ โบดแลร์จึงชื่นชมหญิงที่งามเพราะแต่งอย่างมีศิลปะมากกว่าหญิงที่งามตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังเห็นว่า แฟชั่น (la mode) ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นอย่างชาญฉลาดยังเป็นเสมือนการปรับแปลงธรรมชาติให้งามสูงส่ง เสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่นและเครื่องประดับที่รับกันนี้เป็นสิ่งเสริมเสน่ห์ แสดงถึงความพยายามใหม่ๆ ของมนุษย์ที่จะไปสู่ความงามหรือสู่อุดมคติ แต่ทั้งนี้ต้องให้หญิงที่งามเป็นผู้สวมใส่ด้วย
_____________________
นอกจากบทความ จิตรกรแห่งชีวิตสมัยใหม่ หนังสือเล่มนี้ยังมีอีก 2 บทความของโบดแลร์ คือ
1. ผลงานและชีวิตของเออแฌน เดอลาครัวซ์
2. ซาลง ปีค.ศ. 1859
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
ต้น ค.ศ.1859 โบดแลร์มีโอกาสรู้จักศิลปินอาวุโสชื่อ กองสต็องแต็ง กีสย์ (Constantin Guys, 1802-1892) ผู้สร้างจิตรกรรมสีน้ำและภาพสเกตช์ที่แสดงถึงชีวิตสมัยใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่เขาเสนอไว้ใน Salon de 1845 และ Salon de 1846 หลังจากได้ติดตามชมภาพของกีสอย่างใจจดใจจ่อและด้วยความปลาบปลื้ม ตลอดจนได้คบหาสมาคมกับศิลปินผู้นี้อย่างใกล้ชิดถึงขนาดพากันไปเที่ยวตามแหล่งบันเทิงยามราตรีอยู่พักใหญ่ โบดแลร์จึงได้นำข้อสังเกตและข้อคิดที่ได้จากประสบการณ์ครั้งนี้มาเขียนบทความเรื่อง Le Peintre de la vie moderne ระหว่างช่วงปลาย ค.ศ. 1859 ถึงต้น ค.ศ. 1860 (แต่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Figaro ฉบับที่ 26 วันที่ 29 พฤศจิกายนและ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1863) อันเป็นช่วงที่เขาเขียนบทกวีร้อยกรองและร้อยแก้วเกี่ยวกับชีวิตสมัยใหม่ในปารีสไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้ โบดแลร์ได้เสนอแนวคิดเชิงทฤษฎีสุนทรียศาสตร์แนวใหม่ไว้อย่างน่าสนใจ โดยอาศัยผลงานศิลปะของกีสย์เป็นตัวอย่างสาธิต
โบดแลร์เริ่มด้วยการบรรยายถึงบุคลิกและอุปนิสัยของกีสย์ (ซึ่งในบทความเรียกว่า เมอสิเยอร์ G เนื่องจากกีสเป็นคนไม่ชอบแสดงตัว ไม่ยอมให้ระบุชื่อจริง) ว่าเป็นศิลปินที่ชอบออกไปเดินเล่นคนเดียว ชอบแสง สี ภูมิทัศน์ ตึกรามบ้านช่องในเมืองใหญ่ เพลิดเพลินอยู่กับการแฝงตัวปะปนอยู่กับฝูงชนในปารีส ใช้สายตาที่แหลมคมสังเกตชีวิตความเป็นไปของชีวิตสมัยใหม่ แล้วเก็บบันทึกสิ่งที่ประทับใจไว้ในความทรงจำ ต่อจากนั้นจึงจะสร้างสรรค์งานศิลปะจากภาพในความทรงจำและจินตนาการอีกทีหนึ่ง โบดแลร์เห็นว่ากลวิธีการนำเสนอที่ฉับไว เป็นอิสระ เน้นเฉพาะส่วนเส้น สี ที่มีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นเฉพาะตัวของกีสนั้น เป็นวิธีการที่น่าสนใจมาก
โบดแลร์ถือโอกาสเสนอแนวคิดทางสุนทรียศาสตร์แนวใหม่ นั่นคือ แนวคิดเกี่ยวกับความงาม (le Beau) (ตอนที่ 1) เขาชี้ว่า ความงามนั้นมีลักษณะทวิลักษณ์ กล่าวคือมีทั้งลักษณะที่เป็นนิรันดร์ คงที่ นิยามยาก กับลักษณะชั่วคราวซึ่งสัมพันธ์กับสถานการณ์และความเป็นไปร่วมสมัย และเปรียบว่าทวิลักษณ์นี้เป็นเสมือน “จิตวิญญาณ” และ “ร่าง” ของศิลปะ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับแนวคิดว่าด้วยความเป็นสมัยใหม่ (ตอนที่ 4)
ในทัศนะของโบดแลร์ ชีวิตสมัยใหม่นั้นเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ของศิลปิน แต่ศิลปินจะต้องรู้จักเลือกลักษณะที่เขาเห็นว่าเด่น น่าประทับใจมานำเสนอ และรู้จักดึงลักษณะที่เป็นอมตะออกจากภาวะที่ปรากฏเพียงชั่วคราวโดยบังเอิญ ทั้งนี้ เขาเสนอนิยามศัพท์ “modernité” ไว้ว่า “ความเป็นสมัยใหม่ ประกอบด้วยส่วน (เปลือกนอก) ที่คงอยู่ชั่วคราว ผ่านวูบแล้วแวบหายหรือปรากฏเพียงชั่วแล่น ครึ่งหนึ่ง กับส่วน (แก่นสาร) ที่มีสารัตถะซึ่งดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์อีกครึ่งหนึ่ง”
ในตอนที่ 9 โบดแลร์เสนอแนวคิดสำคัญที่ว่า ศิลปะต้องเป็นการดัดแปลงธรรมชาติตามจินตนาการของผู้สร้างสรรค์ เพราะเขาเห็นว่าธรรมชาตินั้น “ดิบ” และ “เถื่อน” เพราะฉะนั้น ต้องใช้ศิลปะเข้ามาขัดเกลาดัดแปลงให้หมดมลทิน งานศิลปะจึงมิใช่การลอกเลียนธรรมชาติ แต่เกิดจากการจัดสรรเลือกเฟ้นองค์ประกอบจากธรรมชาติมาสร้างใหม่ จัดระบบใหม่ ตามความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำ และจินตนาการ ตลอดจนความชำนาญด้านฝีมือของผู้สร้าง ด้วยเหตุนี้ โบดแลร์จึงชื่นชมหญิงที่งามเพราะแต่งอย่างมีศิลปะมากกว่าหญิงที่งามตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังเห็นว่า แฟชั่น (la mode) ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นอย่างชาญฉลาดยังเป็นเสมือนการปรับแปลงธรรมชาติให้งามสูงส่ง สำหรับเขาและกีส เสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่นและเครื่องประดับที่รับกันนี้เป็นสิ่งเสริมเสน่ห์ แสดงถึงความพยายามใหม่ๆ ของมนุษย์ที่จะไปสู่ความงามหรือสู่อุดมคติ แต่ทั้งนี้ต้องให้หญิงที่งามเป็นผู้สวมใส่ด้วย
ตอนที่ 10 และ 12 เป็นการบรรยายภาพสีน้ำของกีสที่เป็นรูปสตรีในสังคมชั้นสูงที่แต่งหน้าแต่งตัวประดับอาภรณ์ตามแฟชั่นงามหรู ณ สถานที่ต่างๆ เช่น ถนนฌ็องเซลิเซ่ (Champs-Élysées) สวนสาธารณะ และโรงละคร ซึ่งเป็นความงามที่ก่อให้เกิดความสุขใจสบายตาแก่ผู้พบเห็น นอกจากนี้ โบดแลร์ยังแสดงความชื่นชมโสเภณีและหญิงที่ทำงานในคาบาเรต์หรือสถานเริงรมย์ในยามค่ำคืน โดยชี้ว่าลักษณะหลังนี้เป็นความงามที่เกิดจากความชั่ว และแฝงด้วยความเศร้า
ตอนที่ 6 7 และ 8 เป็นการวิเคราะห์ภาพวาดของกีสที่แสดงถึงรถม้าที่สวยงามรับกับคนนั่งที่แต่งกายหรูหราในพิธีสำคัญเพื่อเตรียมรับเสด็จจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 กับจักรพรรดินีและพระโอรส พร้อมด้วยราชอาคันตุกะจากนานาประเทศ นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงภาพเหตุการณ์ช่วงสงครามที่แหลมไครเมียที่กีสบันทึกไว้ขณะเป็นผู้สื่อข่าวให้แก่ The London Illustrated News เมื่อ ค.ศ. 1854-1856 โบดแลร์ชี้ให้เห็นว่าภาพเกี่ยวกับทหารของกีสนั้น ต่างจากภาพทหารของโอราซ แวร์เนต์มาก เพราะกีสไม่เน้นรายละเอียดที่หยุมหยิม แต่นำเสนอเฉพาะลักษณะเด่นสำคัญ โดยใช้การสังเกต ความทรงจำและจินตนาการ ตลอดจนความสามารถในการวาดเส้นและระบายสีอย่างแม่นยำ รวดเร็ว ทำให้ผู้ดูเกิดจินตนาการร่วมไปด้วย
สำหรับตอนที่ 9 ซึ่งโบดแลร์กล่าวถึงภาพของกีสเกี่ยวกับ แดนดี (le dandy) นั้น เขาถือโอกาสอธิบายถึงจุดยืน อุปนิสัย รสนิยม และวิถีการดำรงชีวิตแบบแดนดี ซึ่งตัวเขาเองก็ถือปฏิบัติอยู่อย่างสมบูรณ์แบบตลอดชีวิตแม้ในยามทุกข์ยาก โดยถือว่าเป็น “สุขบัญญัติทางจิตวิญญาณ” และเป็นวินัยสำคัญสำหรับการพัฒนาตนเพื่อสร้างสรรค์งานวรรณศิลป์และหลักสุนทรียศาสตร์ ตามอรรถาธิบายของโบดแลร์ แดนดี คือ บุคคลที่มีลักษณะพิเศษ มีวิถีการดำรงชีวิตแปลกเด่นกว่าคนอื่นๆ เช่น พิถีพิถันเรื่องแต่งตัว และมักทำท่าเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกเวลาพบเห็นผู้อื่น โบดแลร์ชี้ให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของแดนดีว่า การแสดงออกเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์ของจิตใจที่ละเอียดอ่อนกว่าคนทั่วไป มีวิจารณญาณวิเคราะห์ตัวเองตลอดเวลา อยากจะแสดงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้ปรากฏ ทำให้คนอื่นทึ่ง แต่สงวนท่าทีไม่แสดงความรู้สึกอ่อนไหวให้คนอื่นเห็น พวกแดนดีบูชา “ตัวตน” ของเขาเอง จะสนใจคนอื่น เช่น ผู้หญิง ก็แต่เฉพาะที่รู้สึกว่าจะได้ความสุขจากนาง ทำให้นางหลงเชื่อว่ารักจริง ปรัชญาของพวกเขาคือ รู้เท่าทันความเสื่อมโทรมของชีวิต แม้จะหดหู่ก็ยอมรับมันได้ อาทิ ในเรื่องของความตาย พวกแดนดีตระหนักถึงอำนาจของความตาย แต่ก็หาญกล้าที่จะเผชิญกับความตาย พวกเขาจึงนิยมแต่งกายด้วยสีดำอย่างประณีตพิถีพิถัน เพื่อทำให้ความตายเป็นมหรสพอันพึงชม โบดแลร์เปรียบว่าแดนดีเป็นลักษณะของขุนนางรุ่นใหม่ เป็นรัศมีสุดท้ายของวีรกรรมในยุคเสื่อม เป็นตัวแทนชุดสุดท้ายของอหังการ์แห่งมนุษย์...
__________________
ดู สารบัญ และคำนำ ที่ https://www.yumpu.com/xx/document/read/67503687/-1- อ่านบทวิจารณ์ ที่ https://www.illuminationseditions.com/b/107 ดูภาพวาดประกอบหนังสือ ที่ https://www.yumpu.com/xx/document/read/67512528/-2 ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |